
ยุคเรานี้มีการพูดถึง การล่มสลาย ของหลายอย่าง
หนึ่งในหลายอย่างนี้คือ การล่มสลายของครอบครัวไทย
มีทั้งล่มสลายตามความหมายของคำและล่มสลายในพฤตินัย
คำว่า ล่ม หมายถึงการทรงตัวไม่อยู่ เอียงจนตะแคงหรือคว่ำเช่น เรือล่ม หรือหมายถึงทำอะไรไม่สำเร็จ ไม่รอดฝั่ง
คำว่า สลาย หมายถึงแตกพัง ทลาย ละลาย
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทย ก็ได้แต่คิดตามประสาของผมว่า เมื่อพูดถึงคำว่า ล่มสลาย น่าจะหมายถึงอาการของสองคำนี้รวมกัน
ดังนั้น เมื่อพูดถึงการล่มสลายของชีวิตครอบครัวตามนัยแห่งคำแล้ว ก็หมายถึงครอบครัวที่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ไปด้วยกันไม่สำเร็จ แล้วก็แตกแยกพังทลายไม่เหลือหรอ
พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง...หมดสิ้นคำว่าครอบครัว
นอกนั้นก็มีการล่มสลายในพฤตินัยของชีวิตครอบครัว
แม้ยังจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว แต่ความรักต่อกันนั้นล่มสลายไปแล้ว
ทนอยู่ด้วยกันไปเพราะพันธะบางอย่าง เพราะฐานะด้านสังคม เพราะแรงกดดันจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ...ทั้งๆ ที่ความรักที่มีต่อกันพยุงไว้ไม่อยู่และพังทลายไปนานแล้ว
เมื่อเห็นแนวโน้มของการล่มสลายของชีวิตครอบครัวสูงขึ้นเรื่อยๆก็เริ่มมีการศึกษาหาสาเหตุที่มาที่ไปเป็นการใหญ่โต
แล้วก็แจงรายงานที่น่าจะเป็นตัวการก่อให้เกิดการล่มสลายเป็นบัญชียาวยืด
พร้อมกันนั้นก็เสนอรูปแบบการแก้ปัญหาต่างๆนานาแล้วแต่จะมองสาเหตุจากมุมมองใด
ผมมองของผมว่าในเมื่อคนเราแต่งงาน และสร้างครอบครัวขึ้นมา เพราะความรักที่มีต่อกัน ก็น่าจะจากมุมมองความรักนี่แหละ
ผมคงไม่พูดถึงการแต่งงานที่ทำไปเพราะเหตุผลอื่น เพราะการแต่งงานประเภทนี้ น่าจะเรียกว่าแต่งกับผลประโยชน์มากกว่าจะแต่งกับคน
ในเมื่อการแต่งงานเริ่มต้นเพราะความรัก ดำเนินไปเพื่อรัก มุ่งไปสู่ความรัก การล่มสลายของชีวิตแต่งงานก็เกิดจากการล่มสลายของความรักนั่นเอง
มักจะมีการพูดกันเสมอว่า เมื่อความรักของทั้งสองสุกงอมแล้วก็แต่งงานอยู่กินด้วยกัน
ทำให้เกิดความเข้าใจว่า การแต่งงานเป็นผลพวงจากความรักที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์แล้ว และไม่เคยฉุกคิดกันบ้างว่า ความรักเป็นผลพวงจากการแต่งงานด้วย
ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าทะเบียนสมรสเป็นปริญญาบัตรของความรัก
ปริญญาบัตรเป็นใบประกาศว่าบุคคลที่รับได้จบหลักสูตรการเรียน การศึกษาสาขาวิชานั้นๆแล้วโดยสมบูรณ์
ทะเบียนสมรสเลยเป็นใบประกาศว่าบุคคลทั้งสองจบหลักสูตรความรักแล้วโดยสมบูรณ์
แล้วก็ลงเอยเหมือนผลไม้ที่สุกงอมที่คนจ้องแต่จะเด็ดมากิน หรือไม่ ก็ปล่อยให้ร่วงหล่นลงมาโคนต้น
แต่งงานกันไปแล้วก็มุ่งกอบโกยความสุข กินผลไม้ความรักที่สุกงอมกันอย่างตะกละตะกลาม พอเอียนก็ปล่อยให้ร่วงหล่นเรี่ยราดอย่างไม่ใยดี
ถ้าไม่ได้กินตามคาดหวังก็มีการเรียกร้องสิทธิ ต่อรองข่มขู่ ประท้วง ประชด...หนักเข้าก็ลงไม้ลงมือ
แต่ของเอร็ดอร่อยขนาดไหนกินบ่อยๆ ซ้ำซาก ไม่ช้าก็เอียน
ความล่มสลายของชีวิตการแต่งงานก็ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะตั้งหลักกันว่าการแต่งงานเป็นผลพวงจากความรักแต่อย่างเดียว
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ความรักเป็นผลพวงของการแต่งงานด้วย
ต้นดอกรักที่ลงเมล็ด เฝ้าเอาใจใส่รดน้ำพรวนดินในช่วงคบหากันเป็นแฟน จนแตกกอเป็นลำต้น เมื่อตกลงยินยอมแต่งงานร่วมชีวิตกันแล้ว ยังต้องดูแลรดน้ำพรวนดินด้วยความหวงแหนเอาใจใส่ต่อไปและยิ่งวันยิ่งมากขึ้น จนแตกดอกออกผลในชีวิตน้อยๆที่ลืมตาขึ้นมาเป็นสมาชิกในครอบครัวแห่งความรัก
ในช่วงคบหาเป็นแฟนกัน ความรักที่มีต่อกันและกันเป็นแค่ การเลือก ...รักก็ได้ ไม่รักก็ได้ รักมากรักน้อย หรือแม้จะเลิกรักก็เป็นเรื่องของความพอใจ
แต่เมื่อแต่งงานแล้ว ความรักที่มีต่อกันกลับเป็น พันธะ...ต้องรักอย่างเดียว และรักสุดหัวใจเสมอไป
และนี่คือความรักที่เป็นผลพวงจากการแต่งงาน
พูดถึงความรัก ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงความรักที่มีการพรรณนาไว้อย่างเพราะพริ้งในบทเพลงบ้าง บทกวีบ้าง...
แล้วก็เข้าใจกันว่า นั่นคือทั้งหมดของความรัก
พอรักใครสักคน ก็เฝ้าแต่จะสอดส่องตรวจตราดูว่า ได้สิ่งที่มีการพรรณนาไว้แล้วหรือยัง อะไรบ้างและอะไรอีกที่ยังไม่ได้...
ดูแล้วไม่ต่างกับการซื้อหาสิ่งของ ซื้อมาแล้วต้องตรวจสอบดูว่าใช้ได้ประโยชน์จริงตามที่มีการโฆษณาเอาไว้หรือไม่
ตรวจสอบอย่างละเอียดทุกขั้นตอน จนพอใจนั่นแหละจึงถือว่าซื้อหามาแล้วคุ้มค่า
ไม่เช่นนั้นก็จะโวยวาย นำกลับไปคืนร้านพร้อมต่อว่าต่อขาน แล้วก็เรียกร้องเอาเงินคืน หรือไม่ก็เปลี่ยนชิ้นใหม่แทนชิ้นเก่า
คนพรรค์นี้รักแล้วต้องได้ทุกอย่างตามที่มีการพรรณนาไว้ พอไม่ได้ตามนั้นก็ผิดหวัง โวยวาย ต่อว่าต่อขาน เลิกรากันไป แล้วก็หันไปหารักใหม่ พร้อมกับปลอบใจตัวเองไป...คงยังไม่พบรักแท้คงไม่ใช่เนื้อคู่ ลองมองหาดูใหม่...
ลองมองความรักกันแบบนี้ ก็คงต้องผิดหวังตั้งแต่เริ่มรักแล้ว...และคงจะไม่มีวันพบรักแท้ได้เลย
หลายคนเลยได้แต่หลงรักกับคำพรรณนาของความรักแทนที่จะรักคนที่มีเลือดมีเนื้อ
และนี่คือที่มาของการล่มสลายของความรักในชีวิตคู่
จริงๆ แล้วไม่มีสูตรสำเร็จของความรัก เพราะความรักไม่ใช่เป้าหมายหรือเส้นชัย
แต่ทว่าความรักเป็นจุดปล่อย จุดเริ่มต้น เริ่มต้นอยู่เรื่อยไป...
ความรักจึงต้องก่อต้องสร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่แสดงออกมาในท่าที การกระทำ... แต่ละอย่าง ทีละอย่าง
...ความละเอียดอ่อน รอยยิ้ม ความเอื้ออาทร การดูแลเอาใจใส่ ความคิดถึง ความห่วงใย การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การปกป้อง พึ่งพาได้ทุกเมื่อ ความทะนุถนอม ความสนใจ ความเข้าใจ การอภัย การคืนดี ความเสียสละ การยินยอม การเคารพ รับฟัง ให้ รับ อดทน การสัมผัส กอด จูบ...
แต่ละอย่างและทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวจบแต่ต้องเริ่มใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่มีจบสิ้น
เพราะเหล่านี้คือโฉมหน้าต่างๆ ของความรัก
ร่างกายของคนเรามีเซลล์ที่ตายไปนาทีละ 300 ล้านเซลล์ แต่ถูกแทนที่จากการแบ่งเซลล์ของเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่...ทำให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปกติสุข
ความรักเพื่อจะอยู่ได้ จำต้องมีการสร้างเสริมขึ้นมาด้วยท่าทีและการกระทำแห่งความรักจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อไปทดแทนท่าทีและการกระทำที่ผิดต่อความรักที่เกิดจากการกระทบกระทั่ง ประสาลิ้นกับฟันในการร่วมชีวิตอยู่ด้วยกัน...ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน
สำหรับความรัก การไม่รักก็ถือเป็นความผิดมหันต์แล้วอย่าว่าแต่การทำผิดต่อความรักเลย
เพราะโดยธรรมชาติของความรักแล้ว มันเป็นดังพลังผลักดันออกจากตัวมันเอง ที่ต้องคอยหล่อเลี้ยงด้วยเชื้อเพลิง
เฉกเช่นแสงสว่างที่ให้ความสว่างออกไปจากตนเอง โดยต้องมีเชื้อเพลิงหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
...แสงแดดมีเชื้อเพลิงจากดวงอาทิตย์ แสงเทียนจากการเผาไหม้ และการหลอมละลายของเทียนไข แสงไฟฟ้าจากการแปลงพลังไฟฟ้าจากโรงผลิต แสงตะเกียงจากการเผาไหม้ของไส้ตะเกียงและน้ำมัน...
เชื้อเพลิงที่หล่อเลี้ยงความรักคือความรู้สึก ท่าทีและการกระทำ...แห่งความรัก ที่ให้พลังผลักดันแก่ความรักมากกว่าแสงสว่างเป็นไหนๆ
ความรักใดไม่มีพลังพอที่จะหลุดพ้นไปจากตนเอง ความรักนั้นก็เป็นแค่ความเห็นแก่ตัวที่แฝงตัวไว้มิดชิดแนบเนียนเบื้องหลังคำว่า รัก
ไม่สมจะเรียกว่ารักด้วยซ้ำ อย่างมากก็เรียกได้แค่ว่า รักคุด เท่านั้นเอง
เมื่อใดที่ยอมรับกันว่า ความรักในอุดมคติที่นักเขียนนิยายแต่งขึ้นมาจากจินตนาการ บ่อยครั้งแทบจะไม่มีอะไรใกล้เคียงกับชีวิตจริงเลย
เมื่อนั้นการล่มสลายของความรักก็จะลดน้อยลง .